บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก
ที่รายงานไว้ในปี 2551 พบว่า
ทั่วโลกมีคนที่เป็นความดันโลหิตสูงมากถึง 1,000 ล้านคน 2 ใน 3
อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ยังพบว่าประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3
คนมีภาวะความดันโลหิตสูง ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2568 หรืออีก 11 ปี ข้างหน้า
ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 1.56 พันล้านคน
ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก
ขณะที่ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 11 ล้านคน เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย และพบว่ามีอัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นในรอบ
10 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญยังพบว่า มีผู้ชายร้อยละ 60 และผู้หญิงร้อยละ 40
ที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีภาวะความดันโลหิตสูง
ขณะที่ผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้แล้วราวร้อยละ 8-9 กลับไม่ยอมรักษา
โรคนี้เกิดได้จากการไม่ออกกำลังกายปล่อยไขมันสะสมในร่างกาย หรือ
การรับประทานอาหารในชีวิตประจำวันและพันธุกรรม
ส่งผลให้อาการทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะสามารถนำไปสู่ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ไตวาย และโรคหัวใจ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สรรพคุณช่วยลดโรคความดันโลหิตสูงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อาหารที่มีสรรพคุณดังกล่าวมาข้างต้นที่อาจจะประกอบไปด้วย
1.ใบเตย
ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี
เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม
อร่อย และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น
ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจปรับสมดุลในร่างกายและบำรุงหัวใจและหลอดเลือดลดความดันโลหิตปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
2.
มะพร้าว มะพร้าวเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ดีๆ แบบที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อวิตามินรวมแพงๆ
มากินให้เสียเวลา เพราะในเนื้อมะพร้าวนอกจากจะมีใยอาหารสูงแล้ว ยังมีทั้งวิตามินบี
1 บี 2 บี 3 บี 5 และบี 6 ที่ช่วยในการเผาผลาญน้ำตาล ให้เป็นพลังงาน
และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
ทำให้ไม่เป็นโรคโลหิตจาง ช่วยบำรุงหัวใจ
ช่วยในการขยายหลอดเลือดและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
3. กะทิ
กะทิมีวิตามินหลายชนิด แร่ธาตุ และอิเล็กโทรไลท์ รวมทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม และคลอไรด์ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวถูกสร้างขึ้นจากกรดไขมันห่วงโซ่สั้นและห่วงโซ่กลางได้อย่างรวดเร็ว
กลายเป็นพลังงานแทนการจัดเก็บเป็นไขมัน ดังนั้นแม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะสูง
แต่มะพร้าวสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ ซึ่งอาหารที่มีส่วนประกอบดังที่กล่าวนั้นและสามารถพบเห็นมารับประทานได้ง่ายคือวุ้นนั่นเอง ซึ่งวุ้นนับเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
วุ้นหรือที่ฝรั่งเรียกว่า "อะการ์” (agar) ซึ่งสกัดจากสาหร่าย โดยอาจมีลักษณะเป็นผง นอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นๆ
ที่อาจสกัดจากต้นไม้ จุลินทรีย์ สาหร่าย เป็นต้น
จากที่กล่าวมาคณะผู้ศึกษาจึงได้คิดที่จะทำวุ้นกะทิใบเตย
เป็นการป้องกันโรคความดันโลหิตที่เกิดจากการทำงานจนไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือสาเหตุอื่นที่เกี่ยวข้องอาจจะทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นได้
คณะผู้ศึกษาจึงคิดทำวุ้นกะทิใบเตยนี้เพื่อเป็นทางเลือกในการให้ผู้บริโภคหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
และยังนำไปเป็นแนวทางการหารายได้เสริมได้อีกด้วย
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อศึกษาค้นคว้าและให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของมะพร้าว กะทิ และใบเตย
2. เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
อีกทั้งสามารถนำไปเป็นอาชีพเสริมได้ในอนาคต
3. เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาขนมพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
วุ้นมีความอร่อย
สีสันสวยงามตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น
น้ำร้อนที่ใส่ในวุ้น
ตัวแปรตาม
ผงวุ้น
ตัวแปรควบคุม
การเย็นตัวของวุ้นตามแบบของแม่พิมพ์
ขอบเขตของการศึกษา
ศึกษาการทำวุ้นกะทิใบเตย
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.วุ้น หมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง
ทำจากสาหร่ายทะเลเป็นต้น เมื่อนํามาต้มแล้วทิ้งไว้ให้เย็นจะแข็งตัว
มีลักษณะค่อนข้างใสและนุ่ม ใช้ทําเป็นของหวานบางอย่าง เช่นวุ้นกะทิ วุ้นนํ้าเชื่อม
เรียกสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้น เช่น เคี่ยวหนังหมูจนเปื่อยเป็นวุ้น.
2.มะพร้าว
หมายถึง เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลปาล์ม มะพร้าว
เป็นพืชซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในหลายทาง เช่น
น้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อนใช้รับประทาน เนื้อในผลแก่นำไปขูดและคั้นทำกะทิ
3.กะทิ หมายถึง
น้ำที่คั้นออกจากมะพร้าวขูดโดยเจือน้ำบ้างเล็กน้อย
4.ใบเตย
หมายถึง ใบเตย จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ
ลักษณะของเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งมีขอบใบเรียบ
บทที่
2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มผู้ทำโครงงานได้ศึกษาค้นคว้าจกเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยแบ่งการศึกษาดังนี้
1.
วุ้น
2.
กะทิ
3.
มะพร้าว
4.
ใบเตย
วุ้น
ความหมายของวุ้น
วุ้นเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
วุ้นหรือที่ฝรั่งเรียกว่า "อะการ์” (agar) ซึ่งสกัดจากสาหร่าย
โดยอาจมีลักษณะเป็นผง นอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นๆ ที่อาจสกัดจากต้นไม้ จุลินทรีย์
สาหร่าย ซึ่งก็มีชื่อเรียกยากๆ ต่างกันไป เช่น คาร์ราจีแนน (carrageenan)
แซนแทนกัม(xanthangum)
เป็นต้น
วุ้นทำขนมมี ๒ ชนิด คือ ชนิดผงและชนิดเส้น ชนิดเส้นมีลักษณะคล้ายเชือกฟาง
ขาวใสเส้นยาว แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับที่ทำแกงจืด วิธีการใช้ก็คือ
ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดผงแล้วแช่น้ำสักครู่ พอให้เส้นพองขึ้น แล้วนำไปเคี่ยว
ส่วนวุ้นชนิดผงลักษณะเป็นผงสีขาวนวล บรรจุในถุงพร้อมใช้สะดวก
ภาพที่
1 : ตัวอย่างผงวุ้นที่ใช้ทำวุ้นกะทิใบเตย
ที่มา
: https://secure.ap- _328x328.jpg
|
กะทิ
กะทิได้จากมะพร้าว
ขนมไทยนิยมใช้กะทิที่คั้นเองจากมะพร้าวขูดใหม่ๆ ถ้าคั้นกะทิจากมะพร้าวที่มีกลิ่นจะทำให้กลิ่นของขนมเสีย
ทั้งกลิ่นและรสอาจเปรี้ยว แก้ไขได้ยากไม่สามารถจะกลบกลิ่นของกะทิได้
แม้แต่นำไปตั้งไฟกวน มะพร้าวเมื่อซื้อมา ถ้ายังไม่ใช้ ควรเก็บในตู้เย็น
หรือต้องคั้นเป็นกะทิทันที และทำให้ร้อนหรือให้สุกก่อนถ้าต้องการเก็บไว้ยังไม่ใช้ทันที
การคั้นมะพร้าวเพื่อให้ได้หัวกะทิ
จะนวดมะพร้าวก่อนใส่น้ำร้อนหรือน้ำสุกแต่น้อยนวดน้ำในมะพร้าวออกมาจะได้หัวกะทิข้นขาวในการทำขนมหวานโดยต้องการใช้หัวกะทิข้น
ๆ เพื่อให้ขนมน่ารับประทาน
ผู้ประกอบขนมหวานไทยจึงควรมีความรู้เรื่องการคั้นมะพร้าวให้ได้กะทิที่ข้น
มะพร้าว
มะพร้าว ชื่อวิทยาศาสตร์ Cocos nucifera L. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม
(ARECACEAE) ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อวงศ์ว่า PALMAE หรือ PALMACEAE
สมุนไพรมะพร้าว
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดุง (จันทบุรี), โพล (กาญจนบุรี), คอส่า
(แม่ฮ่องสอน), เอี่ยจี้ (จีน), หมากอุ๋น
หมากอูน (ทั่วไป) เป็นต้น
มะพร้าวเป็นพืชยืนต้นที่จัดอยู่ในตระกูลปาล์ม
ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบเหมือนขนนก ผลประกอบไปด้วยเปลือกนอก ใยมะพร้าว กะลามะพร้าว
และชั้นสุดท้ายคือเนื้อมะพร้าว ซึ่งภายในจะมีน้ำมะพร้าว ถ้าลูกมะพร้าวแก่มาก
เนื้อมะพร้าวจะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด
ประโยชน์น้ำมะพร้าว
มะพร้าวกับความเชื่อ
มีความเชื่อว่าการปลูกต้นมะพร้าวทางทิศตะวันออกของบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข
ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย และยังเป็นมิ่งขวัญสำหรับคนเกิดปีชวดและปีเถาะอีกด้วย
ส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาจะจัดให้มีเครื่องสังเวยเป็นมะพร้าวอ่อน
เพราะเชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์
การดื่มน้ำมะพร้าวก็เพื่อความเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพอีกด้วย
เพราะมีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ทำให้ผู้ตายเกิดความผ่องใส
สงบจิตใจลงได้ และเดินทางไปยังภพภูมิหน้าได้อย่างเป็นสุข (อ้อ
มะพร้าวยิ่งต้นสูงเท่าไหร่ น้ำก็ยิ่งสะอาดมากขึ้นเท่านั้น) (ที่มา :
ตำราพรหมชาติฉบับหลวง)
น้ำมันพร้าวกับประจำเดือน
ด้วยความเชื่อที่ว่า “ในขณะที่มีประจำเดือนไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวเป็นอันขาด” แต่ความจริงก็คือน้ำมะพร้าวก็เหมือนน้ำหวานทั่ว ๆ ไป จึงไม่มีผลกระทบต่อการมีประจำเดือนแต่อย่างใด
แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบางรายที่อาจมีอาการแพ้น้ำมะพร้าวได้
ดังนั้นคุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแสนโปรดของคุณได้ตามปกติแม้จะมีประจำเดือนก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้เสี่ยงทดลอง
เพราะประจำเดือนอาจจะเปลี่ยนสีและหดหายไปได้
ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งมดลูกได้ในระยะยาว (แหล่งอ้างอิง : ดาราเดลี่)
ประกอบกับตำรายาไทยโบราณบอกว่า “น้ำมะพร้าวแสลงกับหญิงที่กำลังมีประจำเดือน”
(ที่มา : “สารานุกรมสมุนไพร” (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), “สมุนไพรร้านเจ้ากรมเป๋อ”
(อุทัย สินธุสาร))
น้ํามะพร้าวกับคนท้อง
ด้วยความเชื่อที่ว่า “ดื่มน้ำมะพร้าวมาก ๆ จะทำให้ลูกที่คลอดออกมามีผิวขาว ผิวเกลี้ยง
และช่วยล้างไขตามตัว” ความจริงก็คือในน้ำมะพร้าวมีสารอาหารหลากหลายอย่างและกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เมื่อดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้สร้างไขที่ตัวเด็กให้มีสีค่อนข้างขาว
เลยดูว่าเด็กตัวสะอาด
เพราะตามธรรมชาติเด็กทุกคนต้องมีไขมันห่อหุ้มตัวอยู่แล้วแเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิภายนอกและยังช่วยให้เด็กคลอดง่ายขึ้นด้วย
(ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง)
สรรพคุณของมะพร้าว
-
น้ำมะพร้าวช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส
เปล่งปลั่ง ขาวนวลขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
-
น้ำมะพร้าวมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
ซึ่งทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้เป็นอย่างดี
-
น้ำมะพร้าว มีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ได้เป็นอย่างดี
-
ในเนื้อและน้ำมันมะพร้าวอ่อนมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกายอย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี
วิตามินบี กรดอะมิโน ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม
ธาตุเหล็ก และยังมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ภายใน 5 นาที
-
น้ำมะพร้าวมีประโยชน์ใช้เป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและไม่มีอันตรายใด
ๆ ต่อร่างกาย (ยกเว้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและโรคไต)
-
น้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยดับร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี
(น้ำมะพร้าว)
-
น้ำมะพร้าวอ่อนมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ
ขับพิษของเสียออกจากร่างกาย หรือช่วยดีท็อกซ์
-
ช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่ร่างกายมีความเป็นกรดสูง
เพราะน้ำมะพร้าวมีความเป็นด่าง ทำให้กลไกการทำงานของระบบต่าง ๆ
ภายในร่างกายเป็นปกติแส่งผลให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
-
ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก)
-
ใช้เป็นเครื่องดื่มธรรมชาติที่ให้เกลือแร่ได้เป็นอย่างดี
จึงเหมาะสำหรับนักกีฬา เนื่องจากอุดมไปด้วยธาตุโพแทสเซียม (น้ำมะพร้าว)
-
ช่วยแก้กระหายน้ำ (น้ำมะพร้าว, เนื้อมะพร้าว, ดอก)
-
น้ำมะพร้าวลดบวม ช่วยแก้อาการบวมน้ำ (น้ำมะพร้าว)
-
น้ำมะพร้าวมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค จึงนำไปใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดได้
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดแบบผิดปกติ
-
มารดาที่เพิ่งคลอดบุตรแต่ไม่มีน้ำนมเพียงพอ
ก็สามารถให้บุตรกินน้ำมะพร้าวแทนน้ำนมแม่ได้ชั่วคราวได้
เพราะน้ำมะพร้าวมีกรดลอริกที่มีอยู่มากในน้ำนมแม่นั่นเอง
แถมยังมีความบริสุทธิ์ไม่มีสารเคมีเจือปน จึงไม่เป็นอันตรายต่อเด็กทารก
(น้ำมะพร้าว)
ผู้ที่เป็นสิวหรือมีประจำเดือนติดต่อกันไม่หยุดให้ดื่มน้ำมะพร้าว
จะช่วยทำให้ร่างกายขับของเสียออกมาได้มากยิ่งขึ้น
มะพร้าวอ่อน นอกจากรับประทานสดแล้ว ยังนำมาทำเป็นวุ้นมะพร้าว
มะพร้าวเผา ส่วนประกอบในอาหารคาวหวาน เป็นต้น
มะพร้าวแก่ นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นคั้นกะทิสด กะทิกล่อง มะพร้าวอบน้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าว
รวมไปถึงน้ำมันไบโอดีเซลด้วย เป็นต้น
เนื้อในของมะพร้าวแก่ ใช้ทำเป็นกะทิ ด้วยการขูดเนื้อเป็นเศษ ๆ
แล้วบีบคั้นเอาน้ำกะทิออก (เนื้อมะพร้าว)
กากที่เหลือจากการคั้นน้ำกะทิ
สามารถนำไปใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย
ใบมะพร้าวนิยมนำมาใช้สานเป็นภาชนะใส่ของ ห่อขนม
สานหมวกกันแดดหรือเครื่องเล่นเด็ก กระจาด กระเช้า ตะกร้า
ทำของที่ระลึกรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอ่อน
กะลามะพร้าวประดิษฐ์
ภาพที่
2 : มะพร้าว
ที่มา
: http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/ 0363-1.gif
|
ความหมายของ ใบเตย
เตย ชื่อวิทยาศาสตร์
Pandanus
amaryllifolius Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Pandanus odorus
Ridl.) จัดอยู่ในวงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE)
สมุนไพรเตย
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู
(แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) เป็นต้น
ต้นเตยหอม
จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ
มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของใบเป็นทางยาว
สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็ง มีขอบใบเรียบ
เราสามารถนำใบเตยมาใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง ในใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย
(Fragrant screw
pine) โดยกลิ่นหอมของใบเตยนั้นมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า 2-acetyl-1-pyrroline ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ใน
ข้าวหอมมะลิ ขนมปังขาว และดอกชมนาด
นอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด
โดยใบเตยหอม 100 กรัมนั้นจะมีเบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม, วิตามินซี 8
มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม, วิตามินบี 3 1.2 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 124
มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส
27 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม, โปรตีน
1.9 กรัม และให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี่
ประโยชน์ของใบเตย
1. ใบเตยนำมาบด และคั้นแยกน้ำ ก่อนนำไปผสมทำขนมหรือของหวานต่างๆ
เช่น ขนมเปียกปูน ขนมชั้น เป็นต้น เนื่องจากให้สีเขียวสด
และให้กลิ่นหอมเป็นธรรมชาติ
2. นำใบเตยมา 5-10 ใบ บดคั้นผสมน้ำ และกรองแยกน้ำออก
ก่อนนำมาต้มอุ่น พร้อมกับเติมน้ำตาลลงเล็กน้อยตามความหวานที่ต้องการ เรียกว่า
น้ำใบเตย
3. ใบเตยนำมาห่อทำขนมหวาน เช่น ขนมตะโก้
4. ใบนำมามัดรวมกัน
ใช้สำหรับวางในห้องน้ำ ห้องรับแขกเพื่อให้อากาศมีกลิ่นหอม ช่วยในการดับกลิ่น
5. ใบเตยสดนำมายัดหมอน
ช่วยให้มีกลิ่นหอม
6. ใบนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่า
Fragrant Screw Pine ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ มีประโยชน์ในด้านอาหาร เครื่องสำอาง และยา
7. สารสกัดจากใบเตยนำมาใช้เป็นสารแต่งกลิ่นบุหรี่
8. ใบเตยสดนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ
นำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนใช้ชงเป็นชาดื่ม
9. น้ำมันหอมระเหยจากเตยนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำยาปรับอากาศ
10. สารสกัดจากใบเตยนำไปเคลือบข้าวสารที่ไม่มีกลิ่นหอม
หลังจากนำมาหุงแล้วจะช่วยให้มีกลิ่นหอม
11. สารสกัดจากใบเตยใช้เป็นสารป้องกันการหืนของอาหาร
น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์
12. สารสกัดจากใบเตยใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง
ครีมทาผิว
13. น้ำคั้นใบเตยนำมาผสมทำแซมพู
สบู่ หรือ ครีมนวด
14. น้ำมันหอมระเหยใบเตยใช้เป็นส่วนผสมทางยา
15. ใบเตยสดนำมามัดเป็นกำ
ใช้ขัดถูพื้น ช่วยให้พื้นเงางาม และมีกลิ่นหอม
16. ใบเตยสด
นำมามัดรวมกับดอกไม้อื่นๆ ใช้สำหรับถวายหรือบูชาพระ
ภาพที่
3 : ใบเตยล้วนมีประโยชน์มากมาย
ที่มา
: http://puechkaset.com/wp-content/uploads/2016/06/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A2.jpg
|
บทที่
3
วิธีดำเนินการศึกษา
โครงการเรื่องวุ้นกะทิใบเตยผู้จัดทำได้ดำเนินการดังรายละเอียดดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
3. การสร้างและการหาคุณภาพ
4 แบบการทดลอง
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
6. วิธีการดำเนินการศึกษา
1.
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการทดลอง
เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9
ประจำปีการศึกษา 2560 โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา จำนวน 45 คน
โดยการเลือกแบบเจาะจง
2.
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในครั้งนี้
ผู้ศึกษาได้สร้างเครื่องมือเป็นแบบประเมินความพึงพอใจ เรื่องวุ้นกะทิใบเตย ซึ่งเป็นแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์
โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
5
คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจในการใช้มากที่สุด
4
คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจในการใช้มาก
3
คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจในการใช้ปานกลาง
2
คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจในการใช้น้อย
1
คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจในการใช้น้อยที่สุด
3. การสร้างและการหาคุณภาพ
ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือดังนี้
1.
คิดค้นนวัตกรรม
2.
หาข้อมูลของการสร้างโครงงานสะเต็มเรื่องวุ้นกะทิใบเตย
3.
ทดลองตามแผนที่ได้กำหนดไว้
4.
หากผลการทดลองไม่เป็นไปตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้
จึงมีการค้นคว้าเพิ่มเติมและทดลองจนกว่าได้ผลิตภัณฑ์ตามที่ต้องการแล้วนำผลิตภัณฑ์ไปประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์
– ผู้บริโภค
4. แบบการทดลอง
การทดลองครั้งที่
1
ผู้ศึกษาได้คิดค้นการทำวุ้นกะทิใบเตยขึ้นโดยใช้โดยมีส่วนผสมหลักอย่าง
น้ำใบเตย มะพร้าว และกะทิ มาผสมกันเพื่อให้เกิดรสชาติที่อร่อย หวาน มัน ซึ่ง
จากการทดลองครั้งที่ 1 พบว่า ตัววุ้นมีการจับตัวอ่อน
เหลวจนเกินไป รสชาติมีความหวานเลี่ยน
การทดลองครั้งที่
2 ผู้ศึกษาได้ปรับสูตรให้วุ้นกะทิใบเตยมีความอร่อยขึ้น
โดยการเพิ่มปริมาณผงวุ้นขึ้น ใส่ส่วนผสมอย่างน้ำตาลน้อยลง เพื่อลดความหวาน
ผลการทดลอง พบว่า
วุ้นกะทิใบเตยมีรถชาติที่อร่อย หวานกำลังดีและตัววุ้นไม่แข็ง
ไม่อ่อนจนเกินไป
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ค่าเฉลี่ย (Mean)
สูตร
เมื่อ
แทน คะแนนเฉลี่ย
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน จำนวนคนทั้งหมด
6. วิธีการดำเนินการศึกษา
ส่วนผสมของตัววุ้น
•
ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ
•
น้ำใบเตยขัน 1/2 ถ้วยตวง
•
ใบเตยหั่นชิ้นเล็ก 1 ½ ถ้วย ปั่นกับน้ำ 1 ถ้วย
•
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
•
น้ำ 2 ½ ถ้วย
ส่วนผสมของหน้าวุ้น
•
ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ
•
น้ำ 2 ½ ถ้วย
•
ภาพที่
4 : ส่วนผสมของการทำวุ้นใบเตย
|
น้ำมะพร้าว ขูด
600 กรัม
•
คั้นกับน้ำอุ่น 3/42 ถ้วยตวง
•
น้ำตาลทรายขาว 2 1/2 ถ้วงตวง
•
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
•
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำส่วนของตัววุ้น
•
นำใบเตยไปล้างแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก 1 ½ ถ้วยปั่นกับน้ำให้ละลาย
•
น้ำใบเตยใส่กระทะทองแล้วผงวุ้นกวนให้เข้ากันแล้วพักไว้ 15 นาที
แล้วเอาไปตั้งไฟ
•
พอตัววุ้นพอเหนียวใส่น้ำตายเข้าไปแล้วกวนให้ละลาย
•
ภาพที่
5 : ขั้นตอนการละลายวุ้น
|
ตักใส่พิมพ์แล้วรอให้แห้งนิดหน่อยแล้วใส่หน้ากะทิ
ภาพที่
6 : การผสมส่วนผสมให้เข้ากัน
|
วิธีทำส่วนของหน้าวุ้น
•
นำกะทิใส่กระทะทองแล้วใส่ผงวุ้นกวนให้เข้ากันแล้วพักไว้15 นาทีแล้วเอาไปตั้งไฟ
•
พอเหนียวใส่น้ำตายเข้าไปแล้วกวนให้ละลาย
•
พอหน้าวุ้นเหนียวใส่เอาไปใส่พิมพ์ที่ใส่ตัววุ้นไว้
ภาพที่
7 : การทำหน้าวุ้นโดยมีกะทิเป็นสวนผสมหลัก
|
ภาพที่
8 : วุ้นกะทิใบเตยแสนอร่อย
|
บทที่4
ผลการศึกษา
การศึกษาโครงงานวุ้นกะทิใบเตยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1)
เพื่อศึกษาค้นคว้าและให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของมะพร้าว กะทิ และใบเตย 2)
เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งสามารถนำไปเป็นอาชีพเสริมได้ในอนาคต และ 3) เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาขนมพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง ซึ่งกลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9
จำนวน 45 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
คือแบบสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภควุ้นกะทิใบเตย
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า วุ้นกะทิใบเตยมีรสชาติที่หวาน มัน อร่อย
ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ตัววุ้นไม่แข็ง ไม่อ่อนจนเกินไป กำลังดี ซึ่งสามารถแสดงตารางการทดลองได้ดังนี้
ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบวุ้นกระเจี๊ยบและวุ้นกะทิใบเตย
ตารางที่
1 การทดลองเปรียบเทียบวุ้นน้ำหวานและวุ้นกะทิใบเตย แสดงผลได้ดังนี้
ผลิตภัณฑ์
|
ผลการทดลอง
|
วุ้นน้ำหวาน
|
เนื้อวุ้นเหลว ไม่จับตัว ไม่มีรสชาติที่หลากหลาย
และไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค
|
วุ้นกะทิใบเตย
|
มีสีสันสวยงาม น่ารับประทาน รสชาติอร่อย หวานกำลังดี
มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค
|
จากการการทดลองโดยการเปรียบเทียบวุ้นน้ำหวานและวุ้นกะทิใบเตย
พบว่า วุ้นกะทิใบเตยมีรสชาติอร่อย
เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคอีกทั้งด้วยประโยชน์ที่นานาชนิดส่งผลให้
วุ้นกะทิจึงเป็นที่นิยมของกลุ่มประชากรของผู้ศึกษา
ตารางที่ 2 ผลการทดลองวุ้นกะทิใบเตย มีดังนี้
ผลิตภัณฑ์
|
ทดลองครั้งที่
|
ปริมาณการใส่ส่วนผสม
|
สรุป
|
วุ้นกะทิใบเตย
|
1
|
ใส่ผงวุ้นครึ่งช้อนโต๊ะ น้ำตาล 3 ถ้วยตวง
|
วุ้นไม่จับตัวเป็นทรง รสชาติใบเตยหวานเลี่ยน
ไม่น่ารับประทาน
|
2
|
ใส่ผลวุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 1 ถ้วยตวง ลดปริมาณของน้ำตาลในน้ำใบเตย เพิ่มไฟในการเคี่ยวแรงขึ้น
|
ตัววุ้นจับเป็นทรง
ไม่แข็งหรืออ่อนจนเกินไป รสชาติหวานกำลังดี
|
จากการทดลองวุ้นกะทิใบเตย พบว่าจากการทดลองครั้งที่ 1 เมื่อ ใส่ผงวุ้นครึ่งช้อนโต๊ะ
และน้ำตาล 3 ถ้วยตวง พบว่า วุ้นไม่จับตัวเป็นทรง
รสชาติใบเตยหวานเลี่ยน ไม่น่ารับประทาน
ส่วนการทดลองครั้งที่ 2 ใส่ผลวุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 1
ถ้วยตวง ลดปริมาณของน้ำตาลในน้ำใบเตย เพิ่มไฟในการเคี่ยวแรงขึ้น พบว่า
ตัววุ้นจับเป็นทรง ไม่แข็งหรืออ่อนจนเกินไป รสชาติหวานกำลังดี
ตารางที่
3 สรุปผลการทดลองผู้บริโภคผลิตภัณฑ์วุ้นกะทิใบเตย
ผลิตภัณฑ์
|
ชอบ
|
ไม่ชอบ
|
รวม
|
วุ้นกะทิใบเตย
|
45 คน
|
-
|
กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
ชื่นชอบในรสชาติของวุ้นกะทิใบเตย
|
วุ้นน้ำหวาน
|
20คน
|
25คน
|
วุ้นน้ำหวานประชากรชื่นชอบ เพียง 20
คน จากจำนวน 45 คน
|
สรุปผลการทดลอง
พบว่า วุ้นกะทิใบเตย ประชากรมีความชื่นชอบมากกว่าวุ้นน้ำหวาน
บทที่5
สรุปอภิปรายผลการศึกษา
การศึกษาโครงงานวุ้นกะทิใบเตยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1)
เพื่อศึกษาค้นคว้าและให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของมะพร้าว กะทิ และใบเตย 2)
เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งสามารถนำไปเป็นอาชีพเสริมได้ในอนาคต และ 3) เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาขนมพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง
ซึ่งกลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 จำนวน 45 คน
ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
คือแบบสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภควุ้นกะทิใบเตย
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า วุ้นกะทิใบเตยมีรสชาติที่หวาน มัน อร่อย
ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ตัววุ้นไม่แข็ง ไม่อ่อนจนเกินไป กำลังดี และมีความพึงพอใจในการบริโภคอยู่ในระดับดีมาก
ประโยชน์ที่ได้จากการทำโครงงาน
1. ได้รู้ถึงคุณประโยชน์ของมะพร้าว
กะทิ และใบเตย
2. สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
อีกทั้งสามารถนำไปเป็นอาชีพเสริมได้ในอนาคต
3. เป็นการอนุรักษ์และพัฒนาขนมพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง
ข้อเสนอแนะ
โครงงานสะเต็มสามารถนำความรู้นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการเรียนรายวิชา
TS 2 และ TS 3
เพื่อใช้ในการนำเสนอ
บรรณานุกรม
มารู้จักวุ้นกะทิใบเตยกันเถอะ.
(ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.bloggang.com/viewdiary.php?i
22 พฤศจิกายน 2560.
วุ้นใบเตย . (ออนไลน์).
แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/wunsismunphirsaensukh/wun-bi-te/withi-
25 พฤศจิกายน 2560.
สรรพคุณใบเตย 8 ข้อนี้สิเด็ดน่าโดน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://health.kapook.com/view122245.html
25 พฤศจิกายน 2560.
แบบทดสอบถามความพึงพอใจ
โครงงานวุ้นกะทิใบเตย
ข้อมูลทั่วไป
เพศ o ชาย o หญิง
อายุ o 10 – 15 ปี o 16 – 18 ปี
คำชี้แจง
:โปรดเติมเครื่องหมาย ü
ความคิดเห็นของท่านมากที่สุดเพียงข้อเดียว
5 คะแนน หมายถึง ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
4 คะแนน หมายถึง ความพึงพอใจในระดับมาก
3 คะแนน หมายถึง ความพึงพอใจในระดับปานกลาง
2 คะแนน หมายถึง ความพึงพอใจใจระดับน้อย
1 คะแนน หมายถึง ความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด
ด้าน/ที่
|
ข้อความ
|
ระดับความพึงพอใจ
|
5
|
4
|
3
|
2
|
1
|
1
|
รสชาติ
|
|
|
|
|
|
2
|
ความนุ่มและคงตัวของวุ้น
|
|
|
|
|
|
3
|
ความแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์
|
|
|
|
|
|
รวม
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ข้อเสนอแนะ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................